วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฟังก์ชันใน PHP

ฟังก์ชันใน PHP

        ฟังก์ชันในโปรแกรมส่วนใหญ่ได้รับการเรียกคำสั่งเพื่อทำงานอย่างเดียว 
          สิ่งนี้ทำให้คำสั่งอ่านได้ง่ายและยอมให้ใช้คำสั่งใหม่แต่ละครั้งเมื่อต้องการทำงานเดียวกัน

         ฟังก์ชันเป็นโมดูลเก็บคำสั่งที่กำหนดการเรียกอินเตอร์เฟซ ทำงานเดียวกัน 
         และตัวเลือกส่งออกค่าจากการเรียกฟังก์ชัน คำสั่งต่อไปเป็นการเรียกฟังก์ชันอย่างง่าย
         my_function ();

         คำสั่งเรียกฟังก์ชันชื่อ my_function ที่ไม่ต้องการพารามิเตอร์ และไม่สนใจค่าที่อาจจะส่งออกโดยฟังก์ชันนี้

การกำหนดฟังก์ชันและการเรียกฟังก์ชัน

  การประกาศฟังก์ชันเริ่มต้นด้วยคีย์เวิร์ด function กำหนดชื่อฟังก์ชัน พารามิเตอร์ที่ต้องการ และเก็บคำสั่งที่จะประมวลผลแต่ละครั้งเมื่อเรียกฟังก์ชันนี้
<?php
function function_name(parameter1,…) 
{
ชุดคำสั่ง
} 
?>
ชุดคำสั่งต้องเริ่มต้นและสิ้นสุดในวงเล็บปีกกา ({ }) ตัวอย่างฟังก์ชัน my_function
<?php 
function my_function() 
{
$mystring =<<<BODYSTRING 
my function ได้รับการเรียก
BODYSTRING; 
echo $mystring;
} 
?>

การตั้งชื่อฟังก์ชัน

สิ่งสำคัญมากในการพิจารณาเมื่อตั้งชื่อฟังก์ชันคือชื่อต้องสั้นแต่มีความหมาย ถ้าฟังก์ชันสร้างส่วนตัวของเพจควรตั้งชื่อเป็น pageheader () หรือ page_header ()
ข้อจำกัดในการตั้งชื่อคือ
  • ฟังก์ชันไม่สามารถมีชื่อเดียวกับฟังก์ชันที่มีอยู่
  • ชื่อฟังก์ชันสามารถมีได้เพียงตัวอักษรตัวเลข และ underscore
  • ชื่อฟังก์ชันไม่สามารถเริ่มต้นด้วยตัวเลข
หลายภาษายอมให้ใช้ชื่อฟังก์ชันได้อีก ส่วนการทำงานนี้เรียกว่า function overload อย่างไรก็ตาม PHP ไม่สนับสนุน function overload ดังนั้นฟังก์ชันไม่สามารถมีชื่อเดียวกันกับฟังก์ชันภายใน หรือฟังก์ชันกำหนดเองที่มีอยู่
หมายเหตุ ถึงแม้ว่าทุกสคริปต์ PHP รู้จักฟังก์ชันภายในทั้งหมด ฟังก์ชันกำหนดเองอยู่เฉพาะในสคริปต์ที่ประกาศสิ่งนี้หมายความว่า ชื่อฟังก์ชันสามารถใช้ในคนละไฟล์แต่อาจจะไปสู่ความสับสน และควรหลีกเลียง
ชื่อฟังก์ชันต่อไปนี้ถูกต้อง 
name ()
name2 ()
name_three ()
_namefour ()
ชื่อไม่ถูกต้อง 
5name ()
Name-six ()
fopen ()
การเรียกฟังก์ชันไม่มีผลจากชนิดตัวพิมพ์ ดังนั้นการเรียก function_name (), Function_Name() หรือ FUNCTION_NAME() สามารถทำได้และมีผลลัพธ์เหมือนกัน แต่แบบแผนการกำหนดชื่อฟังก์ชันใน PHP ให้ใช้ตัวพิมพ์เล็ก
ชื่อฟังก์ชันแตกต่างจากชื่อตัวแปร โดยชื่อตัวแปรเป็นชนิดตัวพิมพ์มีผล ดังนั้น $Name และ $name เป็น 2 ตัวแปร แต่ Name () และ name () เป็นฟังก์ชันเดียวกัน


การหยุดประมวลผลภายในฟังก์ชัน
คีย์เวิร์ด return หยุดการประมวลผลฟังก์ชัน ฟังก์ชันสิ้นสุดได้เพราะประโยคคำสั่งทั้งหมดได้รับการประมวลผล หรือ ใช้คีย์เวิร์ด return การประมวลผลกลับไปยังประโยคคำสั่งต่อจากการเรียกฟังก์ชัน
<?php
function division($x, $y)
{
if ($y == 0 || !isset($y))
{
echo " ตัวหาร y ต้องไม่เป็นศูนย์หรือไม่มีค่า" ;
return;
}
$result = $x / $y;
echo $result;
}
?>
ถ้าประโยคคำสั่ง return ได้รับการประมวลผล บรรทัดคำสั่งต่อไปในฟังก์ชันจะถูกข้ามไป และกลับไปยังผู้เรียกฟังก์ชันนี้ ในฟังก์ชันนี้ ถ้า y เป็น 0 จะหยุดการประมวลผล ถ้า y ไม่เท่ากับ 0 จะคำนวณผลหาร
สมมติป้อนค่าเป็น
x = 4, y = 0
x = 4
x = 4, y = 2
ผลลัพธ์ของคำสั่ง คือ
x = 4, y = 0 ผลลัพธ์ ตัวหาร y ต้องไม่เป็นศูนย์หรือไม่มีค่า
x = 4, y = ผลลัพธ์ ตัวหาร y ต้องไม่เป็นศูนย์หรือไม่มีค่า
x = 4, y = 2 ผลลัพธ์ 2

การเรียกฟังก์ชัน
เมื่อฟังก์ชันได้รับการประกาศหรือสร้างขึ้นแล้ว การเรียกฟังก์ชันสามารถเรียกมาจากที่ใดๆ ภายในสคริปต์ หรือ จากไฟล์ที่มีการรวมด้วยประโยคคำสั่ง include() หรือ require()
ตัวอย่าง ฟังก์ชัน show_message() เก็บอยู่ในไฟล์ fn_ 03 _keeper.php ส่วนผู้เรียกอยู่ในสคริปต์ fn_ 03 _caller.php
<?php
include("fn_ 03 _keeper.php");
show_message();
?>

พารามิเตอร์
ตามปกติฟังก์ชันส่วนใหญ่ต้องการรับสารสนเทศจากผู้เรียกสำหรับการประมวลผล โดยทั่วไปเรียกว่า พารามิเตอร์

ไวยากรณ์พื้นฐาน
การกำหนดฟังก์ให้รับพารามิเตอร์ส่งผ่านโดยการวางข้อมูล ชื่อตัวแปรที่เก็บข้อมูลภายในวงเล็บหลังชื่อฟังก์ชัน การเรียกฟังก์ชันที่ประกอบด้วยพารามิเตอร์เขียนดังนี้
<?php
function show_parameter($param1, $param2, $param3)
{
echo <<<PARAM
รายการพารามิเตอร์ <br/>
param1: $param1 <br/>
param2: $param2 <br/>
param3: $param3 <br/>
PARAM;
}
?>
พารามิเตอร์ที่ส่งไปยังฟังก์ชันแยกกันเครื่องหมายจุลภาคภายในวงเล็บ โดยสามารถส่งเป็นนิพจน์สำหรับแต่ละพารามิเตอร์ด้วย ตัวแปร ค่าคงที่ ผลลัพธ์จากการคำนวณ รวมถึงการเรียกฟังก์ชัน
scope ของพารามิเตอร์จำกัดภายในฟังก์ชัน ถ้าชื่อตัวแปรเหมือนกับตัวแปรใน scope ระดับอื่น พารามิเตอร์นี้ "ระบุ" เป็นตัวแปรภายในที่ไม่มีผลกับตัวแปรภายนอกฟังก์ชัน

การส่งผ่านโดยค่า(By Value)
ตามปกติการส่งผ่านพารามิเตอร์ไปยังฟังก์ชันเป็นการส่งผ่านค่า การเปลี่ยนแปลงจะจำกัดภายในเฉพาะภายในฟังก์ชัน
ตัวอย่างฟังก์ชัน new_value () ที่ยอมให้เพิ่มค่า อาจจะเขียนคำสั่งดังนี้
<?php
function new_value($value, $increment= 1)
{
$value = $value + $increment;
}
$value = 10 ;
new_value($value);
echo "$value<br/>\n";
?>
คำสั่งนี้ใช้ไม่ได้ ผลลัพธ์จะเป็น "10" ค่าใหม่ของ $value ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สิ่งนี้เป็นเพราะกฎ scope คำสั่งนี้สร้างตัวแปรเรียกว่า $value เป็น 10 เมื่อเรียกฟังก์ชัน new_value () ตัวแปร $value ในฟังก์ชันได้รับการสร้างเมื่อเรียกฟังก์ชัน ค่า 1 ได้รับการเพิ่มให้กับตัวแปร ดังนั้นค่าของ $value คือ 11 ภายในฟังก์ชัน จนกระทั่งสิ้นสุดฟังก์ชัน แล้วกลับไปยังคำสั่งที่เรียกภายในคำสั่งนี้ ตัวแปร $value เป็นอีกตัวแปร global scope และไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การส่งผ่านโดยการอ้างอิง (By Reference)
ตามตัวอย่างฟังก์ชัน new_value ถ้าต้องการให้ฟังก์ชันเปลี่ยนแปลงค่าได้ มีวิธีหนึ่งในการแก้ไขคือ ประกาศ $value ในฟังก์ชันเป็น global แต่หมายความว่าในการใช้ฟังก์ชันนี้ ตัวแปรที่ต้องการเพิ่มค่าต้องตั้งชื่อเป็น $value แต่มีวิธีดีกว่าคือ ใช้การส่งผ่านโดยการอ้างอิง
การอ้างอิงไปตัวแปรต้นทางแทนที่มีค่าของตัวเอง การปรับปรุงไปยังการอ้างอิงจะมีผลกับตัวแปรต้นทางด้วย
การระบุพารามิเตอร์ที่ใช้การส่งผ่านโดยการอ้างอิงให้วาง ampersand (&) หน้าชื่อพารามิเตอร์ในข้อกำหนดฟังก์ชัน
ตัวอย่าง new_value () ได้รับปรับปรุงให้มี 1 พารามิเตอร์ส่งผ่านโดยการอ้างอิงและทำงานได้อย่างถูกต้อง
<?php
function new_value(&$value, $increment=1)
{
$value = $value + $increment;
}
?>
คำสั่งทดสอบฟังก์ชัน ให้พิมพ์ 10 ก่อนการเรียก increment () และ 11 ภายหลัง
ในการส่งค่าโดยการอ้างอิงต้องส่งเป็นตัวแปรไม่สามารถกำหนดค่าคงที่โดยตรง

จำนวนตัวแปรของพารามิเตอร์
การส่งผ่านพารามิเตอร์ไปยังฟังก์ชันนั้น การควบคุมของ PHP ได้กำหนดฟังก์ชันจำนวนหนึ่งให้ยอมรับจำนวนตัวแปรของพารามิเตอร์ ได้แก่ func_num_args, func_get_arg และ func_get_args
func_num_args() บอกจำนวนพารามิเตอร์ไปยังฟังก์ชันที่เรียก func_get_arg() แสดงค่าของพารามิเตอร์ตามดัชนี และ func_get_args() ส่งออก array ของพารามิเตอร์
<?php
function show_pass_value()
{
$idx = count(func_get_args());
echo " จำนวนพารามิเตอร์ $idx <br/>\n";
if ($idx > 0)
    echo ">> ใช้ฟังก์ชัน func_get_arg<br/>\n";
for ($i = 0 ; $i < $idx; $i++)
{
echo " พารามิเตอร์ที่ $i ค่า: ". func_get_arg($i)."<br/>\n";
}
if ($idx > 0)
    echo ">> ใช้ฟังก์ชัน func_get_args<br/>\n";
$params = func_get_args();
foreach ($params as $index => $val)
{
echo " พารามิเตอร์ที่ $index ค่า: $val<br/>\n";
}
echo " *********<br/>\n";
}
$x = 4 ;
show_pass_value("one", "two", 3 , $x, " ห้า" , " หก") ;
show_pass_value();
?>
ผลลัพธ์
จำนวนพารามิเตอร์ 6
>> ใช้ฟังก์ชัน func_get_arg
พารามิเตอร์ที่ 0 ค่า: one
พารามิเตอร์ที่ 1 ค่า: two
พารามิเตอร์ที่ 2 ค่า: 3
พารามิเตอร์ที่ 3 ค่า: 4
พารามิเตอร์ที่ 4 ค่า: ห้า
พารามิเตอร์ที่ 5 ค่า: หก
>> ใช้ฟังก์ชัน func_get_args
พารามิเตอร์ที่ 0 ค่า: one
พารามิเตอร์ที่ 1 ค่า: two
พารามิเตอร์ที่ 2 ค่า: 3
พารามิเตอร์ที่ 3 ค่า: 4
พารามิเตอร์ที่ 4 ค่า: ห้า
พารามิเตอร์ที่ 5 ค่า: หก
*********
จำนวนพารามิเตอร์ 0
*********
Scope
เมื่อต้องการใช้ตัวแปรภายในไฟล์ที่รวม ต้องมีการประกาศตัวแปรเหล่านั้นก่อนประโยคคำสั่ง require () หรือ include () แต่เมื่อใช้ฟังก์ชันจะเป็นการส่งผ่านตัวแปรเชิงประจักษ์เหล่านั้นไปยังฟังก์ชัน บางส่วนเป็นเพราะไม่มีกลไกส่งผ่านตัวแปรเชิงประจักษ์ไปยังไฟล์ที่รวม และบางส่วนเป็นเพราะ scope ของตัวแปรของฟังก์ชันแตกต่างกัน
การควบคุม scope ของตัวแปรเป็นการทำให้ตัวแปรมองเห็นได้ ใน PHP มีกฎตั้งค่า scope ดังนี้
  • การประกาศตัวแปรภายในฟังก์ชันอยู่ใน scope จากประโยคคำสั่งซึ่งตัวแปรให้รับการประกาศภายในวงเล็บปีกกา สิ่งนี้เรียกว่า function scope ตัวแปรเรียกว่า local variable
  • การประกาศตัวแปรภายนอกฟังก์ชันอยู่ใน scope จากประโยคคำสั่งซึ่งตัวแปรได้รับการประกาศที่สิ้นสุดแต่ไม่ใช้ภายในฟังก์ชัน สิ่งนี้เรียกว่า global scope ตัวแปรเรียกว่า global variable
  • การใช้ประโยคคำสั่ง require () และ include () ไม่มีผลกับ scope ถ้าประโยคคำสั่งได้รับการใช้ภายในฟังก์ชัน ประยุกต์ด้วย function scope ถ้าไม่ได้อยู่ภายในฟังก์ชัน ประยุกต์ด้วย global scope
  • คีย์เวิร์ด global สามารถระบุได้เองเพื่อกำหนดหรือใช้ตัวแปรภายในฟังก์ชันให้มี scope เป็น global
  • ตัวแปร สามารถลบโดยการเรียก unset ($variable_name) และตัวแปรที่ unset จะไม่มี scope
  • ตัวแปรระดับ superglobal สามารถเข้าถึงได้ทุกส่วนในสคริปต์
ตัวแปรระดับฟังก์ชัน
ตัวแปรระดับฟังก์ชันหรือ local variable เป็นการประกาศเพื่อใช้เฉพาะภายในฟังก์ชัน ไม่สามารถเรียกจากภายนอกฟังก์ชันได้
<?php
$newline = <<<NLSTRING
<br/>\n
NLSTRING;
$var_global = 10 ;
function show_value()
{
global $newline;
$var_local= 75 ;
echo "\$var_local 1: $var_local";
echo $newline;
}
show_value();
echo "\$var_global : $var_global";
echo $newline;
echo "\$var_local 2: $var_local";
echo $newline;
?>
ผลลัพธ์
$var_global 1 :
$var_local 1: 75
$var_global 2: 10
$var_local 2:
ตามตัวอย่างนี้ ตัวแปรระดับฟังก์ชัน $var_local ไม่สามารถแสดงผลในการพิมพ์ภายนอกฟังก์ชัน show_value() และ $var_global ที่เป็นตัวแปรระดับ global ไม่สามารถแสดงผลภายใน show_value() เพราะมี scope ต่างกัน

ตัวแปรระดับ global
ถ้าต้องการนำตัวแปรระดับ global มาใช้ภายในฟังก์ชันต้องประกาศด้วยคีย์เวิร์ด global ก่อนประโยคคำสั่งที่ใช้ตัวแปรนั้น ตัวอย่าง ฟังก์ชัน show_value() ใช้ $newline จากภายนอกฟังก์ชัน
global $newline;

ตัวแปรสถิตย์
การประกาศตัวแปรสถิตย์ใช้ คีย์เวิร์ด static เมื่อมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน โปรแกรมจะกำหนดค่าตัวแปรตามที่ระบุเพียงครั้งเดียว ถ้าเรียกซ้ำอย่างต่อเนื่องค่านี้จะเปลี่ยนแปลงตามการคำนวณ
<?php
function increment()
{
static $increase = 5 ;
$increase++;
echo $increase."<br/>\n";
}
$end = 5 ;
for ($i = 1 ; $i < $end; $i++)
    increment();
?>
ผลลัพธ์
6
7
8
9
ค่าของตัวแปรสถิตย์ได้รับการตั้งทุกครั้งเมื่อเรียกใช้ในครั้งต่อไป

การส่งออกค่าจากฟังก์ชัน
การส่งค่าออกจากฟังก์ชันใช้คีย์เวิร์ด return เช่นเดียวกับการออกจากฟังก์ชันได้ ถ้าไม่มีการระบุส่งออกฟังก์ชันจะส่งค่า NULL
ตัวอย่าง ฟังก์ชัน get_larger () สาธิตการส่งออกค่า
<?
function get_larger($x=NULL, $y=NULL)
{
if (!isset($x) || !isset($y))
    return " ไม่มีการส่งค่า" ;
if ($x > $y)
    return $x;
else if ($x < $y)
    return $y;
else
    return " ค่าเท่ากัน" ;
}
$sends = array();
$sends[0] = array('x' =>5);
$sends[1] = array('x' =>9, 'y'=>3);
$sends[2] = array('x' =>5, 'y'=>8);
$sends[3] = array('x' =>4, 'y'=>4);
foreach ($sends as $send)
{
echo "x = ".$send['x']." y = ".$send['y']." : ค่า - > "
.get_larger($send['x'], $send['y']);
echo "<br/>\n";
}
?>
ผลลัพธ์
x = 5 y = : ค่า - > ไม่มีการส่งค่า
x = 9 y = 3 : ค่า - > 9
x = 5 y = 8 : ค่า - > 8
x = 4 y = 4 : ค่า - > ค่าเท่ากัน
ฟังก์ชันที่ทำงานอาจเดียว แต่ไม่จำเป็นต้องส่งออกค่า มักจะส่งออก TRUE หรือ FALSE เพื่อระบุความสำเร็จหรือล้มเหลว ค่า TRUE หรือ FALSE สามารถได้รับการแสดงแทนด้วย 1 หรือ 0

Recursion
recursion ได้รับการสนับสนุนใน PHP ฟังก์ชันชนิดนี้เป็นการเรียกตัวเองและเป็นประโยชน์กับการบังคับโครงสร้างข้อมูลไดนามิคส์ เช่น รายการเชื่อมโยงและโครงสร้างต้นไม้ (tree)
โปรแกรมประยุกต์เว็บจำนวนไม่มากต้องการโครงสร้างข้อมูลซับซ้อนมากและจำกัดการใช้ เนื่องจาก recursion ช้ากว่าและใช้หน่วยความจำมากกว่าการทำงานวนรอบ ดังนั้นควรเลือกการทำงานแบบวนรอบปกติ ถ้าเป็นไปได้
ตัวอย่างการประยุกต์แบบย้อนกลับตัวอักษร
<?php
function word_reverse_r($str)
{
if (strlen($str)>0)
    word_reverse_r(substr($str, 1));
echo substr($str, 0, 1);
return;
}
function word_reverse_i($str)
{
for ($i=1; $i<=strlen($str); $i++)
{
echo substr($str, -$i, 1);
}
return;
}
?>
รายการคำสั่งของ 2 ฟังก์ชันนี้จะพิมพ์ข้อความย้อนกลับ ฟังก์ชัน word_reverse_r เป็น recursion ฟังก์ชัน word_reverse_i เป็นการวนรอบ
ฟังก์ชัน word_reverse_r ใช้ข้อความเป็นพารามิเตอร์ เมื่อมีการเรียกฟังก์ชันนี้ จะเกิดการเรียกตัวเองแต่ละครั้งส่งผ่านตัวอักษรที่ 2 ไปถึงตัวอักษรสุดท้าย
การเรียกฟังก์ชันแต่ละครั้งจะทำสำเนาใหม่ของคำสั่งในหน่วยความจำของแม่ข่าย แต่ด้วยพารามิเตอร์ต่างกัน ดังนั้นจึงเหมือนกับการเรียกคนละฟังก์ชัน





วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฟิวส์ (fuse)


       ฟิวส์ (fuse) เป็นอุปกรณ์นิรภัยชนิดหนึ่งที่อยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยจะป้องกันการลัดวงจร และการใช้กระแสเกินในวงจรไฟฟ้า โดยจะหลอมละลาย และตัดกระแสไฟออกจากวงจรเพื่อป้องการอุปกรณ์เสียหาย โดยฟิวส์จะเป็นเส้นลวดเล็ก ๆ ทำจากตะกั่วผสมดีบุก มีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ มีหลายชนิดให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของการใช้งาน







คุณสมบัติของฟิวส์

                1. ฟิวส์เป็นโลหะผสมประกอบด้วยบิสมัท (Bi) ร้อยละ 50 ตะกั่ว (Pb) ร้อยละ 25 และดีบุก (Sn) ร้อยละ 25 โดยมวล

                2. ฟิวส์มีจุดหลอมเหลวต่ำ ขณะที่กระแสไฟฟ้าผ่านฟิวส์ พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็น พลังงาน ความร้อนให้กับฟิวส์เล็กน้อย แต่เมื่อมีการใช้กระแสไฟฟ้ามากเกินกำหนด หรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจร กระแสไฟฟ้าปริมาณมากจะผ่านฟิวส์ พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยน เป็นพลังงานความร้อนให้กับฟิวส์มากขึ้น จนฟิวส์หลอมละลาย ทำให้วงจรไฟฟ้าในบ้าน ถูกตัดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอีกไม่ได้


ประเภทของฟิวส์

                ฟิวส์มีหลายขนาดและมีรูปแบบต่างๆกันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ โดยใช้กันทั่วไปมีดังนี้

                1. ฟิวส์เส้น ใช้ในวงจรไฟฟ้าทั่วไปทำด้วยโลหะผสมเป็นเส้นกลมหรือเส้นแบนเล็กมีจุดหลอมเหลวต่ำ ดัดเป็นรูปต่างๆได้ง่าย ฟิวส์ประเภทนี้ จะใช้กับสะพานไฟตามอาคารบ้านเรือน

                2.ปลั๊กฟิวส์ ฟิวส์ชนิดนี้จะบรรจุอยู่ในกระบอกที่ทำด้วยกระเบื้องกลวงออกเป็นสองแบบด้วยกัน คือ
                            2.1. แบบที่ขาดทันทีเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลเกินขนาด แบบนี้ใช้ร่วมกับสะพานไฟตามบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป เส้นฟิวส์ในกระบอกกระเบื้องจะมีทรายบรรจุอยู่โดยรอบลีหลายขนาด 10,16,20,25,100 แอมแปร์ เป็นต้น เมื่อฟิวส์ขาด แผ่นโลหะเล็กๆด้านบนจะหลุด กระเด็นออกมา
                            2.2.ปลั๊กฟิวส์แบบขาดช้า หมายความว่าเมื่อมีกระแสไฟฟ้าเกินขนาดจะไม่ขาดทันทีปลั๊กฟิวส์แบบนี้เหมาะสำหรับการใช้ป้องกันวงจรมอเตอร์มากกว่าวงจรแสงสว่างธรรมดา
                3.คาร์ดทริดจ์ฟิวส์ ฟิวส์ชนิดนี้จะใช้ร่วมกับเซฟตี้สวิตซ์ ( Safty switch )ลักษณะฟิวส์นี้หลายแบบ ได้แก่
                            3.1.แบบเฟร์รูล (Ferrule type ) เป็นแบบที่ใช้อยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องขยายเสียง เป็นต้น เป็นฟิวส์ที่ทำด้วยโลหะเส้นเล็กๆ บรรจุอยู่ในหลอดแก้วที่มีขนาดตั้งแต่ 1-6 แอมแปร์
                            3.2.  แบบใบมีด (knife blade type ) ทำด้วยโลหะผสม ปลายทั้งสอง ข้างมีตะขอเกี่ยวกับทองแดงมีขนาดตั้งแต่ 70-600 แอมแปร์



การเลือกใช้ฟิวส์

                ควรเลือกฟิวส์ที่ทนกระแสไฟฟ้าสูงสุด ได้มากกว่ากระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ใช้ภายในบ้านเล็กน้อย และไม่ควรใช้ลวดหล็ก หรือลวดทองแดงที่มีจุดหลอมเหลวสูงแทนฟิวส์ เพราะเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากเกินไป ลวดเหล็กหรือลวดทองแดงจะไม่หลอมละลาย จึงไม่ช่วยตัดวงจรไฟฟ้าในบ้าน ฟิวส์ที่ใช้ตามบ้านมีหลายขนาด เช่น ขนาด 10 15 และ 30 แอมแปร์ ฟิวส์ขนาด 15แอมแปร์ คือ ฟิวส์ที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ไม่เกิน 15 แอมแปร์ ถ้ากระแสไฟฟ้าผ่านมากว่านี้ ฟิวส์จะหลอมละลาย ทำให้วงจรขาด ดังนั้น การเลือกใช้ฟิวส์จึงต้องเลือกขนาดของฟิวส์ให้พอเหมาะกับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน ฟิวส์มีหลายชนิด แต่ละชนิดจะใช้แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสม
                การเลือกใช้ขนาดของฟิวส์ให้เหมาะสม ทำได้โดยการคำนวณหาปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ ไหลผ่านอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมกันโดยใช้ความสัมพันธ์
กำลังไฟฟ้า (วัตต์) = ความต่างศักย์ (โวลต์) กระแสไฟฟ้า (แอมแปร์)
                                                       หรือ P = VI
แทนกำลังไฟฟ้า มีหน่วยเป็น วัตต์ (W)
แทนความต่างศักย์ มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
แทนกระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)


                ดังนั้น เมื่อทราบกำลังไฟฟ้า (P) ความต่างศักย์ (V) ซึ่งไฟฟ้าตามบ้านจะมีความต่างศักย์ 220 โวลต์ ก็สามารถคำนวณหาปริมาณกระแสไฟฟ้า (I) ได้ และทำให้ทราบว่าต้องเลือกใช้ฟิวส์ขนาดเท่าใด ถ้าภายในบ้านมีอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด จะต้องนำปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ต้องการใช้มารวมกัน จึงจะเลือกใช้ขนาดฟิวส์ได้ถูกต้อง


วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การสร้างฐานข้อมูล




ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล 

งานในองค์การไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ต่างก็ต้องมีข้อมูลของการทำงาน หรือข้อมูลทางธุรกิจในลักษณะต่าง ๆ  ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นอาจมีทั้งข้อมูลพนักงาน ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลที่เป็นความลับทางธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนั้นข้อมูลขององค์การดังกล่าวยังอาจมีความสำคัญมากน้อยต่างกัน มีผู้ใช้ข้อมูลเฉพาะกลุ่ม หรือทุกกลุ่มได้ตามความจำเป็นและตามลำดับชั้นความลับ สิ่งสำคัญคือ ข้อมูลขององค์การหนึ่งย่อมมีความเกี่ยวข้องกันและควรที่จะนำมารวมไว้ใน ฐานข้อมูล” 



1. เปิดเบราเซอร์เข้าลิ้งค์ http://localhost








2. คลิกที่ phpMyAdmin หรือเข้าที่ลิ้งค์ http://localhost/phpmyadmin




3.- ชื่อผู้ใช้งาน ใส่ root
- รหัสผ่าน อันเดียวกับตอนที่ติดตั้ง appserv


4. ใส่ชื่อของฐานข้อมูลที่ต้องการ และคลิก สร้าง






5. ฐานข้อมูลถูกสร้างแล้ว